บทที่ 4 จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการศึกษามีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา
การสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล
นักการศึกษาและครูจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษา เพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้
ตลอดจนแก้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการเรียนการสอนเหมือนกับวิศวกรที่จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยทั่วไปแล้ว
เนื้อหาของจิตวิทยาการศึกษาที่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับครูและนักการศึกษาประกอบไปด้วย
๑.
ความสำคัญของวัตถุประสงค์ของการศึกษาและบทเรียน
นักจิตวิทยาการศึกษาได้เน้นความสำคัญของความแจ่มแจ้งของการระบุวัตถุประสงค์ของการศึกษา
บทเรียน ตลอดจนถึงหน่วยการเรียน
เพราะวัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดการจัดการเรียนการสอน
๒.
ทฤษฎีพัฒนาการ และทฤษฎีบุคลิกภาพ เป็นเรื่องที่นักการศึกษาและครูจะต้องมีความรู้ เพราะ
จะช่วยให้เข้าใจเอกลักษณ์ของผู้เรียนในวัยต่างๆ โดยเฉพาะวัยอนุบาล วัยเด็ก
และวัยรุ่น ซึ่งเป็น
วัยที่กำลังศึกษาในโรงเรียน
๓.
ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม
นอกจากมีความเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆ แล้ว นักการศึกษาและครูจะต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มทางด้านระดับเชาวน์ปัญญา
ความคิดสร้างสรรค์ เพศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งนักจิตวิทยาได้คิดวิธีการวิจัยที่จะช่วยชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเลือกวิธีสอน
และในการสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม
๔. ทฤษฎีการเรียนรู้ นักจิตวิทยาที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้
นอกจากจะสนใจว่าทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วยนักเรียนให้เรียนรู้และจดจำอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรแล้ว
ยังสนใจองค์ประกอบเกี่ยวกับตัวของ
ผู้เรียน เช่น
แรงจูงใจว่ามีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างไร
ความรู้เหล่านี้ก็มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน
๕.
ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา
นักจิตวิทยาการศึกษาได้เป็นผู้นำในการบุกเบิกตั้งทฤษฎีการสอน
ซึ่งมีความสำคัญและมีประโยชน์เท่าเทียมกับทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการช่วยนักการศึกษาและครูเกี่ยวกับการเรียนการสอน
สำหรับเทคโนโลยีในการสอนที่จะช่วยครูได้มากก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน
๖. หลักการสอนและวิธีสอน
นักจิตวิทยาการศึกษาได้เสนอหลักการสอนและวิธีการสอนตามทฤษฎีทางจิตวิทยาที่แต่ละท่านยึดถือ
เช่น หลักการสอนและวิธีสอนตามทัศนะนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม
และมนุษย์นิยม
๗.
หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้จะช่วยให้นักการศึกษา และครูทราบว่า
การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพหรือไม่
หรือผู้เรียนได้สัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์เฉพาะของ แต่ละวิชาหรือหน่วยเรียนหรือไม่ เพราะถ้าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลสูง
ก็จะเป็นผลสะท้อนว่าโปรแกรมการศึกษามีประสิทธิภาพ
สุขภาพจิต
สุขภาพจิต
หมายถึงคุณลักษณะทางจิตใจของบุคคลที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมได้ดี
พอสมควรและสามารถจะสนองความต้องการของตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและ
สิ่งแวดล้อมอื่นโดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจมากนักคนที่สุขภาพจิตดี
จะสามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้ในระดับที่เหมาะสม
สามารถลดความวิตกกังวลอันเนื่องมาจากการแก้ปัญหาหรือเนื่องมาจากความขัดแย้งด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผลและไม่ใช้ กลวิธานป้องกันตนเองอย่างใดอย่างหนึ่งนานๆ
หรือรุนแรงจนเกินไป
การจูงใจ
การจูงใจ (Motivation) คืออะไร
มีผู้ให้คำจำกัดความของการจูงใจไว้ดังนี้
๑. การจูงใจ
คือขบวนการทางจิตใจที่ผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งจนสำเร็จ
และถูกต้องตามแนวทางที่ต้องการ
๒. การจูงใจ
หมายถึงแรงซึ่งส่งเสริมให้เด็กทำงานจนบรรลุถึงความสำเร็จ
และแรงนี้ย่อมนำทางให้เด็กทำงานไปในแนวที่ถูกต้องด้วย
๓. การจูงใจ หมายถึงพฤติกรรมที่สนองความต้องการของมนุษย์
และเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่
จุดหมายปลายทาง
ทัศนคติและความสนใจ
ความหมายของทัศนคติ
ทัศนคติ (Attitude) หมายถึงความรู้สึกและท่าทีของคนเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกในทางชอบ
ไม่ชอบและมีผลทำให้บุคคลพร้อมที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นตามความรู้สึกดังกล่าวองค์ประกอบทัศนคติจากความหมายของทัศนคติที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า
ทัศนคติประกอบไปด้วย
๑.
องค์ประกอบทางด้านความคิด (Cognitive
Component) ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ของบุคคล ต่อสิ่งของ บุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆ
ถ้าเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างดีอย่างแท้จริงและเกิดทัศนคติในทางที่ดี
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดการรับรู้ในทางที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ยากไป
ก็จะมีทัศนคติไม่ดีต่อสิ่งนั้น
๒.
องค์ประกอบทางด้านความรู้สึก (Affective Component) เป็นสภาพทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่บุคคลถูกเร้าจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งถ้าเราชอบ
สบายใจ สนุก ก็จะเกิดทัศนคติที่ดีแต่ถ้าไม่ชอบ ไม่สนุก ถูกดูหมิ่น ถูกเยาะเย้ย ก็จะมีทัศนคติในทางที่ไม่ดี
๓.
องค์ประกอบทางด้านแนวโน้มของการกระทำ (Action Tendency
Component) เป็นทิศทางของการตอบสนองหรือการกระทำในทางใดทางหนึ่งซึ่ง
เป็นผลมาจากองค์ประกอบด้านความคิดและความรู้สึก ของบุคคลต่อสิ่งเร้า ถ้ารู้ว่าดี
เรียนแล้วเข้าใจ เรียนแล้วสนุก มีแนวโน้มจะเข้าเรียนตลอดเวลา สนับสนุน ส่งเสริม
เป็นพวกด้วยหรือร่วมกิจกรรมด้วย ในทางตรงกันข้ามถ้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ ยาก
ไม่สนุก ถูกดุว่า ถูกดูหมิ่น
เพื่อนหัวเราะเยาะก็มีแนวโน้มจะไม่อยากเข้าเรียน คอยหลบหน้า
คอยต่อต้านขัดขืนและไม่ร่วมกิจกรรมด้วย
ความสนใจกับการเรียนรู้
ความสนใจ (Interest) เป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติ
กล่าวคือเป็นความรู้สึกในทางที่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ
ซึ่งจะทำให้แนวโน้มของพฤติกรรมเป็นในทางที่ดี เช่น ถ้าเด็กสนใจคณิตศาสตร์
จะเข้าเรียนทุกชั่วโมงและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปเพื่อวิชานี้
มากกว่าอย่างอื่นความสนใจของบุคคลจะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการ
ความถนัด รวมทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นสำคัญ
๑.
ต้องศึกษาถึงความต้องการของผู้เรียนโดยส่วนใหญ่ว่าเป็นอย่างไร
จะได้จัดบทเรียน สภาพห้องเรียน สื่อการเรียนต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของเขา
๒.
ก่อนจะสอนเรื่องใดควรสำรวจความสามารถพื้นฐานตลอดจนความถนัดของผู้เรียนก่อน เพื่อจัดสิ่งเร้าให้ตรงกับที่เขาต้องการ
๓.
จัดสภาพห้องเรียนให้น่าสนใจ ตั้งคำถามยั่วยุและท้าทายความสามารถของนักเรียน
ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวกับสภาพการณ์บางอย่างที่เป็นปัญหา
ที่แปลกไปจากเดิม เป็นต้น
๔.
ให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในงานที่ทำบ้าง
เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาทำงานระดับสูงต่อไป
โดยเลือกงานที่เหมาะกับความสามารถและความถนัดของผู้เรียน
จะช่วยให้เขาสนใจงานที่มอบหมายให้ทำ
๕.
ชี้ทางหรือรายงานผลความก้าวหน้าของผู้เรียนให้ทราบเป็นระยะๆ
ให้เขาได้ทราบว่าเขาก้าวมาถึงไหนแล้ว อีกไม่กี่ขั้นก็จะถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ว
จะทำให้เขาตั้งใจทำเพื่อผลสำเร็จของตัวเขาเอง
๖.
ฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตัวเขาบ้าง จากการศึกษานอกสถานที่ จากการสังเกต
หรือจากการสัมภาษณ์ สอบถามจากแหล่งวิชาการต่าง ๆ
ตลอดจนการทดลองค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง ด้วยวิธีการเรียนแบบสืบสวนสอบสวน
หรือให้นักเรียนฝึกเป็นผู้นำและผู้ตามได้ในโรงเรียน หรือนอกห้องเรียน
โดยให้นักเรียนเป็นผู้ดำเนินงานเกี่ยวกับการเรียนการสอนและการฝึกวินัยด้วยตัวของนักเรียนเอง
จิตวิทยาการเรียนรู้ —
Presentation Transcript
• 1.
จิตวิทยาการเรียนรู้ Psychology of Learning
• 2.
Psychology of Learningทฤษฏีการเรียนรู้ทางด้านจิตวิทยา มี 3 กลุ่ม กลุ่มฤษฏีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม
กลุ่มทฤษฏีการเรียนรู้ทางปัญญานิยม กลุ่มการเรียนรู้มานุษยนิยม
• 3.
Psychology of Learningทฤษฎีทางจิตวิทยาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเทคโนโลยีการศึกษาได้อย่างไร
เทคโนโลยีการศึกษา คือ การนำเอาเทคนิค
วิธีการและวัสดุอุปกรณ์มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ การพัฒนา การนำไปใช้
การจัดการและการประเมินการเรียนการสอน
เพื่อแก้ไขปัญหาและทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การผลิตสื่อ
• 4.
Psychology of Learningการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะใช้
ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม
• 5.
Psychology of Learning การผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะใช้ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม
ใช้ในการออกแบบและพัฒนาบทเรียนโดยใช้ทฤษฎีของกาเย่ ( Gagne ) ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ดังนี้ -
สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน - แจ้งจุดประสงค์
บอกให้ผู้เรียนทราบถึงผลการเรียน เห็นประโยชน์ในการเรียน
ให้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียน -
กระตุ้นให้ผู้เรียนทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นต่อการเชื่อมโยงไปหาความรู้ใหม่
เสนอบทเรียนใหม่ๆ ด้วยสื่อต่างๆ ที่เหมาะสม - ให้แนวทางการเรียนรู้
ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมด้วยตนเอง ผู้สอนแนะนำวิธีการทำกิจกรรม
แนะนำแหล่งค้นคว้าต่างๆ - กระตุ้นให้ผู้เรียนลงมือทำแบบฝึกปฏิบัติ -
ให้ข้อมูลย้อนกลับ ผู้เรียนทราบถึงผลการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ - การประเมินผลการเรียนตามจุดประสงค์
- ส่งเสริมความแม่นยำ การถ่ายโอนการเรียนรู้ โดยการสรุป การย้ำ การทบทวน
• 6.
Psychology of Learningการผลิตสื่อเว็บการสอนจะใช้ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม
ใช้ในการการออกแบบและพัฒนาบทเรียนโดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ ของ JeroBroonerเพื่อให้ผู้เรียนจะต้อง ศึกษาและค้นคว้าด้วยตนเอง
จะต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน ผู้เรียนร่วม ผู้สนใจ และบุคคลอื่นๆ
ในระบบได้ทั้วโลก
สามารถสรุปใจความสำคัญของทฤษฎีสนามเพื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมกลุ่มได้ดังนี้ 1.
พฤติกรรมเป็นผลจากพลังความสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่ม 2. โครงสร้างกลุ่มเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีลักษณะแตกต่างกัน 3.
การรวมกลุ่มแต่ละครั้งจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่มเช่น
ในรูปการกระทำ ( act ) ความรู้สึกและความคิด 4. องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าว จะก่อให้เกิดโครงสร้างของกลุ่ม
แต่ละครั้งที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกกลุ่ม 5. สมาชิกกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากันและพยายามช่วยกันทำงานจะก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและทำให้เกิดพลังหรือแรงผลักดันของกลุ่ม
7. Psychology of Learningนาย ชูเกียรติ ใจเพชร 52070581007 นาง สริญชญา มีดี 52070581020 นำเสนอโดย นิสิตปริญญาโท คณะ ศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา
รุ่นที่ 12 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศูนย์การศึกษานครราชสีมา
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้ในการสอน
1. ครูสามารถนำหลักการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้มาทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงอารมณ์
ความรู้สึกทั้งด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น วิชาที่เรียน
กิจกรรม หรือครูผู้สอน
เพราะเขาอาจได้รับการวางเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็เป็นได้
2. ครูควรใช้หลักการเรียนรู้จากทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึกและเจตคติที่ดีต่อเนื้อหาวิชา
กิจกรรมนักเรียน ครูผู้สอนและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดในตัวผู้เรียน
3. ครูสามารถป้องกันความรู้สึกล้มเหลว ผิดหวัง
และวิตกกังวลของผู้เรียนได้โดยการส่งเสริมให้กำลังใจในการเรียนและการทำกิจกรรม
ไม่คาดหวังผลเลิศจากผู้เรียน และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์หรือลงโทษผู้เรียนอย่างรุนแรงจนเกิดการวางเงื่อนไขขึ้น
กรณีที่ผู้เรียนเกิดความเครียด และวิตกกังวลมาก
ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ผ่อนคลายความรู้สึกได้บ้างตามขอบเขตที่เหมาะสม
การสอนแบบทบทวน
การสอนแบบทบทวน (Programmed Tutoring) หมายถึง
วิธีการสอนตัวต่อตัวที่ผู้ให้การทบทวนเป็นผู้ตัดสินใจกำหนดโปรแกรมล่วงหน้า
โดยการใช้สื่อที่อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์ ผู้ทบทวนจะมีคู่มือพร้อมคำเฉลย
ส่วนผู้เรียนจะมีแบบฝึกหัดแต่จะไม่มีคำเฉลย ผู้ทบทวนจะเลือกขั้นตอนการทบทวน
โดยพิจารณาจากการตอบสนองแต่ละครั้งของผู้เรียน
การเรียนรายบุคคล
การเรียนรายบุคคล
เป็นเทคโนโลยีการสอนชนิดหนึ่ง
ที่นำเอาทฤษฎีการเสริมแรงมาใช้โดยผู้เรียนเรียนด้วยตนเองจากสื่อการเรียนต่างๆ เช่น
หนังสือแบบเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฟิล์มลูป ฟิล์มสตริปและบทเรียนโปรแกรม เป็นต้น
สื่อการเรียนแบบนี้จะจัดไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนไปเป็นขั้นตอน
และต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถเรียนได้ดี
ก่อนที่จะย้ายไปเรียนขั้นตอนต่อไปโดยมีการทดสอบไปเรื่อยๆ
มีผู้ช่วยสอนหรือผู้เรียนที่เก่งช่วยแนะนำและจัดการเรื่องการทดสอบ หลังการทดสอบ
ผู้ช่วยสอนหรือผู้เรียนเก่งจะช่วยทบทวนอีกครั้ง ถ้าผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
จะต้องทดสอบด้วยข้อสอบใหม่เรื่อยๆ นักเรียนสามารถทดสอบใหม่ได้ถึง 4 ครั้ง การเรียนลักษณะนี้
ส่วนใหญ่จะเรียนเป็นรายบุคคลโดยครูเป็นผู้วางแผน
จัดการและมีผู้ช่วยหรือนักเรียนที่เก่งเป็นผู้คอยแนะนำ
หลักการของการเรียนรายบุคคล ประกอบด้วย
1)
เสนอเนื้อหาข้อมูลที่เหมาะสมกับผู้เรียน
2)
ผู้เรียนตอบสนองต่อเนื้อหาข้อมูลนั้น ๆ
3)
ได้รับข้อมูลย้อนกลับในทันทีทันใด้
การเรียนรายบุคคล
การเรียนรายบุคคล
เป็นเทคโนโลยีการสอนชนิดหนึ่ง ที่นำเอาทฤษฎีการเสริมแรงมาใช้โดยผู้เรียนเรียนด้วยตนเองจากสื่อการเรียนต่างๆ
เช่น หนังสือแบบเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ฟิล์มลูป ฟิล์มสตริปและบทเรียนโปรแกรม
เป็นต้น สื่อการเรียนแบบนี้จะจัดไว้อย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนไปเป็นขั้นตอน และต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถเรียนได้ดี
ก่อนที่จะย้ายไปเรียนขั้นตอนต่อไปโดยมีการทดสอบไปเรื่อยๆ
มีผู้ช่วยสอนหรือผู้เรียนที่เก่งช่วยแนะนำและจัดการเรื่องการทดสอบ หลังการทดสอบ
ผู้ช่วยสอนหรือผู้เรียนเก่งจะช่วยทบทวนอีกครั้ง ถ้าผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
จะต้องทดสอบด้วยข้อสอบใหม่เรื่อยๆ นักเรียนสามารถทดสอบใหม่ได้ถึง 4 ครั้ง การเรียนลักษณะนี้
ส่วนใหญ่จะเรียนเป็นรายบุคคลโดยครูเป็นผู้วางแผน
จัดการและมีผู้ช่วยหรือนักเรียนที่เก่งเป็นผู้คอยแนะนำ
หลักการของการเรียนรายบุคคล
ประกอบด้วย
1) เสนอเนื้อหาข้อมูลที่เหมาะสมกับผู้เรียน
2) ผู้เรียนตอบสนองต่อเนื้อหาข้อมูลนั้น
ๆ
ระบบการสอนทบทวนด้วยเทปเสียง
ระบบการทบทวนด้วยเทปเสียง (Audio-Tutorial Systems) เป็นการให้ความรู้หลากหลายแก่ผู้เรียน
โดยผ่านทางสื่อเทปเสียง
ไม่ใช้วิธีการบรรยายเนื้อหาแต่เป็นการทบทวนพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
โดยยึดหลักการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
และมีครูผู้สอนในชั้นเรียนคอยให้ความช่วยเหลือแนะนำอย่างใกล้ชิด
ผู้เรียนจะเรียนได้ช้าหรือเร็วตามความสามารถของตนเองในการเรียนด้วยวิธีการนี้
อาจใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบการเรียนได้ เช่น เครื่องมือการทดลองวิทยาศาสตร์
ฟิล์มสตริป สี กระดาษ เป็นต้น โดยทั่วไปจะสามารถแยกกระบวน
การเรียนวิธีนี้มี 2 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นการเรียนเป็นกลุ่มใหญ่โดยไม่มีรูปแบบที่แน่นอน
2. ขั้นการเรียนเป็นรายบุคคล
อาจเป็นกลุ่มเล็ก 6-10 คนก็ได้
ภายหลังจากที่มีการพบกันในกลุ่มใหญ่แล้ว จุดมุ่งหมายของขั้นนี้
เพื่อการสำรวจดูว่าผู้เรียนแต่ละคนได้เข้าใจหลักการทฤษฎีต่างๆ มากน้อยเพียงใด
เทคโนโลยีการสอนประเภทนี้
ยึดหลักการและทฤษฎีของศาสตร์การเรียนรู้ของมนุษย์ ดังนี้
1. การสนทนาด้วยเทปเสียง
ยึดหลักการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
2. เน้นสื่อที่เป็นรูปภาพ
เช่น สไลด์ ภาพยนตร์ ของจริง
ที่จะช่วยให้เกิดความรู้โดยให้ได้รับข่าวสารข้อมูลที่มีความหมาย
3. ยึดหลักความสามารถและความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน
ตลอดจนรูปแบบการเรียนและอัตราการเรียนที่แตกต่างกัน
4. ยึดจิตวิทยาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์โดยส่วนรวม
เหตุผลที่กล่าวว่า การเรียน ลักษณะนี้ เป็นเทคโนโลยีการสอนชนิดหนึ่งก็เพราะ
ยึดหลักการสอนเป็นหน่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
มีข้อมูลย้อนกลับให้ได้ที่
3) ได้รับข้อมูลย้อนกลับในทันทีทัน
หน่วยการสอนย่อย
หน่วยการสอนย่อย (Modules) อาจเรียกชื่อได้หลายอย่าง เช่น
ชุดการเรียนด้วยตนเองชุดกิจกรรม
หน่วยการสอนย่อยโดยปกติออกแบบไว้สำหรับการเรียนด้วยตนเอง
แต่ก็มีบ้างที่ใช้ในการเรียนแบบกลุ่ม เช่น เกม สถานการณ์จำลอง
หรือประสบการณ์ภาคสนาม เทคโนโลยีที่นำหน่วยการสอนย่อยไปใช้คือ การเรียนด้วยตนเอง (PSI)
และการทบทวนด้วยเทปเสียง (A-T) อย่างไรก็ตามหน่วยการสอนย่อยนี้มิใช่เทคโนโลยีการสอนโดยตัวของมันเองแต่จะเป็นส่วนที่ประกอบอยู่กับเทคโนโลยีชนิดต่าง
ๆ
คุณลักษณะของหน่วยการสอนย่อย
1. หลักการเหตุผล
โดยชี้ให้เห็นว่าทำไมผู้เรียนจึงควรเรียนเนื้อหานี้
2. จุดประสงค์ หมายถึง
สิ่งที่ผู้เรียนคาดว่าจะได้รับจากการเรียนเนื้อหานี้
4. กิจกรรมการเรียน
บอกแหล่งสื่อและข้อมูลที่จะเรียน ซึ่งตัวเนื้อหาที่เรียนนี้
จะไม่ถูกบรรจุลงในหน่วยการเรียนโดยตรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น